ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 19 ก.ค.64 ปิด 1,556.01 จุด
ลดลง 18.36 จุด มี มูลค่าซื้อขาย 66,729.12 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,900.36
ล้านบาท
หุ้นไทยผวามาตรการ Lockdown ที่เข้มข้นมากขึ้น
หลังผู้ติดเชื้อรายวันทะยานพุ่งทะลุ 1 หมื่นราย และผู้เสียชีวิตเร่งตัวขึ้น ขณะที่
OPEC+ บรรลุข้อตกลงกำลังการผลิตน้ำมัน
มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 4 แสนบาร์เรลต่อวันตามเดิม
และเตรียมยกเลิกนโยบายการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม 5.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ภายใน ก.ย.65 กดดันราคาหุ้นพลังงาน
บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์ กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบมาก 6 Sector มีสัดส่วน Market Cap. 26%, มีสัดส่วนกำไร 14% นำโดย
1.ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร อย่าง M รวมถึง
CENTEL และ MINT
2.กลุ่มการบินคาดว่าจะส่งผลให้ AOT-AAV และ
BA ขาดทุนต่อเนื่องถึงสิ้นปี ยังคงน้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด
มีตัวเลือกลงทุนเดียว คือ AOT ที่ได้ประโยชน์มากและเร็วที่สุด
เมื่อให้กลับมาเดินทางได้ปกติ
3.กลุ่มก่อสร้างได้รับผลกระทบโดยตรงการปิดแคมป์คนงาน
และ ปิดไซต์งานก่อสร้าง CK, NWR, SYNTEC, SEAFCO และ
PYLON ผลกระทบยังมีไปตลอดทั้ง Supply Chain ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง
อย่างเหล็กเส้น เหล็กโครงสร้าง ท่อเหล็ก สายไฟ ปูนซีเมนต์ คอนกรีต
ที่ต้องลดกำลังการผลิตลง สินค้าเต็มสต๊อกและอาจไม่ได้รับชำระเงินตามกำหนด
4.โครงการอสังหาฯที่อาจเปิดโครงการไม่ได้ตามกำหนด
5.กลุ่มมีเดียสื่อนอกบ้านอย่าง VGI และ
PLANB ได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบาย Work From
Home ส่วนสื่อในโรง ภาพยนตร์ MAJOR ได้รับผลกระทบหนัก
สื่อทีวีอย่าง RS และ WORK ได้รับผลกระทบน้อยกว่าสื่ออื่น
ขณะที่เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีกลับมาโตได้อีกครั้ง
โดยนีลเส็นเผยตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวี เดือน มิ.ย. โตขึ้นกว่า 20%
YoY ครองส่วนแบ่งตลาดโฆษณาอยู่ที่ 61% ของเม็ดเงินโฆษณารวม
6.กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า นำโดย CPN เนื่องจากศูนย์การค้า
19 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของพื้นที่เช่ารวม และสร้างรายได้ค่าเช่า
60-70% ของรายได้ค่าเช่าธุรกิจศูนย์การค้าปี 63 การปิดให้บริการส่งผลกระทบเชิงลบทั้งการลดลงของปริมาณคนใช้บริการ
(Traffic), การยกเว้นค่าเช่าร้านที่ปิดบริการ
รวมถึงการลดค่าเช่าที่มากขึ้น ทั้งหมดมีผลต่อรายได้ค่าเช่า กดดันผลประกอบการ 3Q64
อ่อนตัวจาก 2Q64
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.thairath.co.th/