TH
โชห่วยไทย
สนับสนุนให้คุณมีรายได้

เรายินดีให้คำปรึกษาและเปิดการสอนสำหรับเปิดบริการร้านโชห่วย

New Normal, Next Normal : Branding ทางรอดที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจ

New Normal คืออะไรสำหรับธุรกิจ แบรนด์ต้องเตรียมตัวอย่างไรกับ New Normal ที่จะเกิดขึ้น แบ่งปันมุมมองของการสร้างแบรนด์ในยุคที่ทั้ง Digital และ COVID-19 Disrupt ธุรกิจและการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภคและสังคมที่เปลี่ยนไป มุมมองเล็กๆ ที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้แบรนด์ข้ามผ่านไปสู่ Next Normal ได้อย่างปลอดภัย

หลายคนพูดกันถึง New Normal และ Next Normal ที่จะเกิดขึ้นหลังสถานการณ์ COVID-19 ว่าจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและสังคมไปในแบบที่เราต้องปรับตัวตามให้ทัน มีการวิเคราะห์ถึงผลกระทบกันในหลากหลายแง่มุมและระดับความซับซ้อน ในด้านของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจ

นอกจากจะต้องปรับตัวเพื่อพลิกฟื้นด้านเงินทุนหมุนเวียน การปรับแผนธุรกิจ การแก้ปัญหาด้านพนักงานต่างๆ แผนเชิงรุกในการสร้างแบรนด์ และการสื่อสารการตลาดเพื่อสร้างรายได้ และความมั่นคงให้กับธุรกิจทั้งในระยะสั้นและยาวก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กันไป และเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกับเรื่อง New Normal และ Next Normal โดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะพูดถึงและแบ่งปันมุมมองกันในเนื้อหาของบทความนี้

ผลที่จะเกิดขึ้นจาก New Normal สรุปใจความสำคัญ (จากหลายสำนักและนักวิเคราะห์ต่างๆ) ได้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาและใช้เครื่องมือด้านดิจิทัลที่จะมากและหลากหลายขึ้น จนเรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือหลักของสังคมและวิถีชีวิต ซึ่งถ้ามองในมุมวิวัฒนาการของสังคมผ่านการขับเคลื่อนของเทคโนโลยีดิจิทัลตลอดระยะเวลามากกว่า 40 ปีที่ผ่านมา เรื่องนี้ก็ดูจะเป็นความปกติธรรมดา ไม่ได้เป็นความปกติใหม่ (New Normal) ที่สร้างความแตกต่างไปจากแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว นั่นจึงหมายความว่าสถานการณ์ COVID-19 เป็นเพียงแค่ตัวเร่งปฏิกิริยา และย่นย่อเวลาให้อนาคตเกิดเร็วขึ้นนั่นเอง

แล้วอะไรคือ Next Normal ที่กำลังจะเกิดขึ้นถัดไป (ที่จะเกิดเร็วขึ้น) ถ้าเราถอยมามองภาพใหญ่ที่อธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นเนื้อหาจากหนังสือ The Third Wave ที่ Alvin Toffler นักเขียนชาวอเมริกัน วิเคราะห์และคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ปี 1980 (คนละเล่มกับ The Third Wave ของ Steve Case ที่อธิบายพัฒนาการของยุคอินเทอร์เน็ต ซึ่งที่จริงก็ได้รับแรงบันดาลใจจากงานเขียนของ Toffler ด้วยเช่นกัน) นั่นก็คือ

“สังคมจะขับเคลื่อนไปด้วยผลของเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก Information Technology ที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อกันไร้พรมแดน (Globalization) เกิดโครงข่ายข้อมูลข่าวสารที่สามารถเข้าถึงง่ายสะดวกเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนไปของกระบวนการทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวิถีชีวิตผู้คน”

ซึ่ง Toffler อธิบายไว้ในหลายแง่มุม ละเอียดถี่ถ้วนอย่างน่าประหลาดใจ หลายสิ่งได้เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ไม่ว่าจะเป็น Social Networks, AI, Cryptocurrency, Blockchain, Robotic, IOT ซึ่งตรงและใกล้เคียงมากกับการคาดการณ์ของเขา เท่ากับว่าวันนี้สังคมโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคคลื่นลูกที่สามอย่างเต็มตัวแล้ว และน่าจะอยู่ในระดับที่ 3 จาก 10 ระดับของคลื่นลูกที่สาม (ผู้เขียนกำหนดเองเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น) ก่อนจะก้าวผ่านไปสู่ The Fourth Wave หรือคลื่นลูกที่สี่ต่อไป

คาดกันว่าคลื่นลูกที่ 4 จะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีในระดับนาโน และไบโอ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวิวัฒนาการของสังคมอย่างมหาศาล ไปได้ไกลเท่ากับจินตนาการที่เราเห็นในภาพยนตร์ไซไฟต่างๆ และเริ่มมีสัญญาณของการพัฒนาบางด้านเกิดขึ้นจริงบ้างแล้วในปัจจุบัน เช่น การค้นพบวิธีการปรับแต่งจีโนมในดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เพื่อปรับกระบวนการทำงาน และโครงสร้างร่างกายให้เป็นไปตามต้องการ ที่เรียกว่า CRISPRE Technology

หลังจากนั้นจะเข้าสู่คลื่นลูกที่ห้า The Fifth Wave ซึ่งเป็นลูกสุดท้าย สังคมจะขับเคลื่อนไปด้วย “ภูมิปัญญา” เพราะผ่านการพัฒนาด้านวัตถุ (Physical) และกลไกต่างๆ ของร่างกายมาทั้งหมดแล้ว ซึ่งหมายถึงการสามารถพัฒนาระดับภูมิปัญญาของผู้คนให้เหมาะสม รูปแบบของกระบวนการทางสังคมจึงดำเนินไปด้วยภูมิปัญญาของผู้คนที่มีความเข้าใจในมิติต่างๆ ที่ใกล้เคียงกัน

สรุปแล้ว Next Normal ก็คือวิวัฒนาการของสังคมที่ก้าวกระโดดจากระดับ 3 ข้ามผ่าน 4 (COVID-19 ช่วยเร่ง) ไปสู่ระดับที่ 5 (จาก 10 ระดับของคลื่นลูกที่สาม) นั่นคือ การใช้เครื่องมือดิจิทัลกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในคนหมู่มาก การสื่อสารและเชื่อมโยงกันของสังคมใช้ช่องทางออนไลน์เป็นสื่อหลัก ธุรกิจต่างๆ จะพัฒนาระบบและช่องทางออนไลน์เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวันของลูกค้าอย่างแพร่หลาย (Auto Subscriptions Daily Product) สิ่งเหล่านี้เริ่มปรากฏให้เห็นคุ้นชินตามากขึ้นแล้วในปัจจุบัน ขอไม่ยกตัวอย่างประกอบนะครับ

และอีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เกิดปรากฏการณ์การให้ความสำคัญกับวัตถุดิบ, กระบวนการผลิตและธุรกิจในท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น (Local Brand, Localization) ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของคลื่นลูกที่สาม เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์แบรนด์ใหญ่ๆ เริ่มทยอยปิดโรงงานที่เป็นฐานการผลิตในต่างประเทศลง คงเหลือในกลุ่มที่มีฐานลูกค้าที่ชัดเจนและแข็งแรงเท่านั้น

ขอบคุณภาพและเนื้อหาข่าวจาก

https://positioningmag.com